Dr. Veeramuthu Ashokkumar และ ศ.ดร.ชวลิต งามจรัสศรีวิชัย ภาควิชาเคมีเทคนิค นักวิจัยในเครือข่าย CBRC และ ผศ.ดร.อัญชิษฐา สัจจารักษ์ ภาควิชาพฤกษศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประสบความสำเร็จในการเพาะเลี้ยงจุลสาหร่ายสีแดง (Haematococcus sp.) เพื่อผลิตผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงตามแนวคิดไบโอรีไฟเนอรี (Biorefinery) ผลงานวิจัยนี้ตีพิมพ์ในวารสาร Fuel (Tier1 Journal, JCR IF = 5.578)
จุลสาหร่าย (Microalgae) ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในปัจจุบันทั้งในงานวิจัยและภาคอุตสาหกรรม โดยใช้เป็นวัตถุดิบหมุนเวียนสำหรับการผลิตสารเคมีมูลค่าสูงในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ยา เครื่องสำอาง และอาหาร นอกจากนี้องค์ประกอบชีวมวลในจุลสาหร่ายยังสามารถเปลี่ยนไปเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuels) และถ่านชีวภาพ (Biochar)
แอสตาแซนธิน (Astaxanthin) เป็นสารเคมีมูลค่าเพิ่มสูงชนิดหนึ่งที่ผลิตได้ในเซลล์จุลสาหร่ายบางชนิด มีสมบัติต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) สูงกว่าวิตามินซี และวิตามินอี 65 และ 600 เท่า ตามลำดับ แอสตาแซนธินที่มีจำหน่ายในปัจจุบันกว่า 95% เป็นแอสตาแซนธินสังเคราะห์ (Synthetic astaxanthin) ที่ผลิตจากกระบวนการปิโตรเคมี ซึ่งมีสมบัติต้านอนุมูลอิสระต่ำกว่า แอสตาแซนธินธรรมชาติ (Natural astaxanthin) ถึง 50 เท่า ทำให้แอสตาแซนธินธรรมชาติมีราคาสูงถึง 15,000-30,000 USD/kg
งานวิจัยนี้ศึกษาการผลิตแอสตาแซนธินธรรมชาติจากจุลสาหร่ายสีแดงชนิด Haematococcus lacustris ซึ่งสามารถให้ผลผลิตแอสตาแซนธินถึง 6.8% เทียบกับน้ำหนักแห้ง นอกจากนี้กากเหลือทิ้งหลังการสกัดแอสตาแซนธินออกแล้ว (Extracted residue) ยังมีองค์ประกอบเซลลูโลสในสัดส่วนที่สูง ซึ่งสามารถนำมาผลิตถ่านชีวภาพผ่านกระบวนการไพโรไลซิส จากนั้นนำไปใช้ในกระบวนการถลุงแร่เหล็ก (Hematite ore) ทดแทนถ่านโค้ก (Coke) ซึ่งการใช้ถ่านชีวภาพนี้จะช่วยลดการใช้พลังงาน การปลดปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ รวมถึงเพิ่มความคุ้มค่าในการใช้ประโยชน์จุลสาหร่ายได้อีกด้วย
Read this article: https://doi.org/10.1016/j.fuel.2021.121150